ต้นแก้ว ต้นไม้มงคล
ต้นแก้ว
แก้ว
ชื่อสามัญ Andaman satinwood, Chanese box tree,
Cosmetic bark tree, Orange jasmine, Orange jessamine, Satin
wood[1],[2],[3],[4],[5]
แก้ว
ชื่อวิทยาศาสตร์ Murraya paniculata (L.)
Jack (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Murraya exotica L.) จัดอยู่ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE)[1],[2],[3],[4],[5]
สมุนไพรแก้ว มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า จ๊าพริก (ลำปาง),
แก้วลาย (สระบุรี), แก้วขี้ไก่ (ยะลา),
แก้วพริก ตะไหลแก้ว (ภาคเหนือ), แก้วขาว
(ภาคกลาง), กะมูนิง (มลายู-ปัตตานี), จิ๋วหลี่เซียง
(จีนกลาง) เป็นต้น[1],[2],[3],[4]
ลักษณะของต้นแก้ว
ต้นแก้ว เป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศจีน และในออสเตรเลีย[7] ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคในป่าดิบแล้งจากที่ราบสูงจนถึงที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ
400 เมตร[8] โดยจัดเป็นไม้พุ่มกึ่งไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดเล็ก
มีความสูงของต้นประมาณ 5-10 เมตร
ต้นแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลมแน่นทึบ เปลือกลำต้นเป็นสีเทาแตกเป็นร่อง ๆ
เนื้อไม้สีขาวนวล เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี
ชอบแสงแดดเต็มวัน-รำไร และความชื้นปานกลาง-ต่ำ
ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอน[1],[2],[3],[4],[5]
ใบแก้ว ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายใบคี่ ออกเรียงสลับ มีใบย่อยประมาณ 5-9 ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายและโคนใบแหลม
ขอบใบเป็นคลื่นหรือหยักมนเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-3 เซนติเมตรและยาวประมาณ
2-7 เซนติเมตร แผ่นใบคล้ายแผ่นหนังบาง ๆ
หลังใบเป็นสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนท้องใบเรียบมีสีอ่อนกว่า ใบมีต่อมน้ำมัน
เมื่อขยี้จะมีกลิ่นฉุนคล้ายผิวส้มเป็นน้ำมันติดมือ[1],[2],[3],[5]
ดอกแก้ว ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ ตามซอกใบ ดอกย่อยเป็นสีขาวและมีกลิ่นหอมจัด กลีบดอกมี
5 กลีบ หลุดร่วงได้ง่าย กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปกลมรี
ยาวประมาณ 2-2.5 เซนติเมตรและกว้างประมาณ 7-9 มิลลิเมตร โคนกลีบดอกติดกัน ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 10 ก้าน ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ
สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี[1],[2],[3]
ผลแก้ว ลักษณะของผลเป็นกลมรีหรือเป็นรูปไข่ ปลายสอบเล็กน้อย ผลมีขนาดกว้างประมาณ 5-8
มิลลิเมตรและยาวประมาณ 1 เซนติเมตร
ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีแดงอมส้ม ผิวผลมีต่อมน้ำมันเห็นได้ชัดเจน
ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 1-2 เมล็ด
เมล็ดมีลักษณะรีหรือเป็นรูปไข่ ปลายสอบ มีขนหนาและเหนียวหุ้มโดยรอบเมล็ด สีขาวขุ่น
เมล็ดมีขนาดกว้างประมาณ 4-6 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 6-9
มิลลิเมตร[1],[2],[3],[4]
สรรพคุณของต้นแก้ว
ใบมีรสร้อนเผ็ดและขม
ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (ใบ)[3],[5]
ช่วยคลายการอุดตันของเส้นเลือด
ทำให้การไหลเวียนของเลือดลมเป็นไปได้ดีขึ้น (ราก)[3]
ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ
(ดอก,
ใบ)[4]
ช่วยแก้อาการไอ
(ดอก,
ใบ)[4]
ราก ก้าน
และใบสดสามารถนำมาใช้เป็นยาชาระงับอาการปวดได้
จึงมีการนำมาใช้เป็นยาแก้อาการปวดฟันและปวดกระเพาะ (ราก,
ก้าน, ใบสด)[3],[4] บ้างก็ว่าก้านและใบสดมีรสเผ็ดร้อนขม นำมาต้มใช้เป็นยาอมบ้วนปากแก้อาการปวดฟันได้เช่นกัน
(ก้านใบ, ใบสด)[1],[2],[4]
รากใช้เป็นยาแก้ฝีฝักบัวที่เต้านม
(ราก)[3]
รากใช้เป็นยาช่วยขับลมชื้นในร่างกาย
แต่ต้องนำไปใช้ร่วมกับตำราแพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนจีน (ราก)[3]
ใบช่วยแก้ท้องเสีย
(ใบ)[4]
ช่วยแก้บิด
(ใบ)[4]
ใบช่วยขับลม
แก้อาการจุกเสียดแน่นเฟ้อ (ใบ)[3],[5]
ช่วยในการย่อยอาหาร
(ดอก,
ใบ)[4]
ใช้เป็นยาแก้ปวดกระเพาะ
ด้วยการใช้ใบแก้วแห้ง, กานพลู, เจตพังคี, และเปลือกอบเชย
นำมาบดเป็นผงใช้ชงกับน้ำร้อนเป็นยารับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ
วันละ 3 ครั้ง
หรือจะนำผงที่ได้มาบดผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองก็ได้
โดยใช้รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง (ใบแห้ง)[3]
ใบใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืด
(ใบ)[4]
ใบใช้เป็นยาขับประจำเดือนหรือระดูของสตรี
(ใบ)[3],[5] หรือจะใช้รากแห้งประมาณ 10-15 กรัม (สดให้ใช้ 30-60
กรัม) นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว
แล้วเคี่ยวให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทานหลังอาหารวันละ 2
ครั้ง เช้าและเย็น (รากแห้ง)[4]
รากและต้นแห้งนำมาหั่นและต้มเคี่ยวแล้วกรองเอาแต่น้ำมาใช้
ช่วยเร่งการคลอดบุตรของสตรี โดยใช้ผ้าพันแผลจุ่มกับน้ำยาสอดเข้าไปที่ปากมดลูก (ราก,
ต้นแห้ง)[1],[2]
รากใช้เป็นยาแก้ฝีในมดลูก
(ราก)[3]
รากสดใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นแผล
(รากสด)[1],[2] ใช้เป็นยาแก้แผลคัน (ราก)[3]
ใช้เป็นยาแก้ผดผื่นคันที่เกิดจากความชื้นและที่เกิดจากแมลงกัดต่อย
(ราก,
ก้าน, ใบสด)[1],[3],[4] แก้อาการคันที่ผิวหนัง (ราก)[3]
แก้แมลงสัตว์กัดต่อย
ด้วยการใช้รากและใบสดนำมาต้มใช้ชะล้างบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อย (ราก,
ใบสด)[1] แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
(ราก)[3]
รากสดมีรสเผ็ดสุขุม
นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้แผลฟกช้ำได้ (รากสด)[1],[2] แก้ฟกช้ำดำเขียว (ราก)[3] แก้แผลเจ็บปวดที่เกิดจากการกระทบกระแทก
(ใบ)[4]
ช่วยแก้ฟกช้ำ
ด้วยการใช้ใบแก้วสด, ขมิ้น, ขิง และไพร นำมาตำให้ละเอียดและผสมกับเหล้า แล้วนำไปคั่วให้ร้อน
นำผ้าสะอาดห่อ ใช้เป็นยาประคบบริเวณที่มีอาการฟกช้ำประมาณ 20-30 นาที โดยให้ทำวันละ 2-3 ครั้ง (ใบสด)[3]
รากใช้แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
บรรเทาอาการปวดบวม แต่ต้องนำไปใช้ร่วมกับตำราแพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนจีน (ราก)[3] บ้างว่าใช้รากแห้งนำมาหั่นเป็นฝอยใช้ตุ๋นกับหางหมูเจือกับสุราใช้กินเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อยเอว
(รากแห้ง)[1],[2],[4]
ก้านและใบสดเมื่อนำมาบดแช่กับแอลกอฮอล์
24
ชั่วโมง สามารถนำมาใช้ทาหรือฉีดเป็นยาระงับอาการปวดได้ (ก้านใบ,
ใบสด)[1],[2]
ดอกและใบใช้เป็นยาแก้ไขข้ออักเสบ
(ดอก,
ใบ)[4]
วิธีและปริมาณที่ใช้ของสมุนไพรแก้ว
รากและใบแห้งให้ใช้ครั้งละ
10-18
กรัม แต่หากเป็นยาสดให้ใช้ครั้งละ 20-35 กรัม[3]
ใช้เป็นยารักษาภายใน
เพื่อแก้อาการท้องเสีย แก้บิด และขับพยาธิ ให้ใช้ก้านและใบสดประมาณ 10-15
กรัม นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย แล้วเคี่ยวให้เหลือ
1 ถ้วยแก้ว ใช้รับประทานหลังอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หรือจะนำมาดองกับเหล้าแล้วใช้ดื่มแต่เหล้าครั้งละ 1
ถ้วยตะไลก็ได้[4]
ใช้เป็นยาภายนอก
ให้ใช้ก้านและใบสดนำมาตำแล้วพอกหรือจะคั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณที่เป็น
หรืออีกวิธีให้ใช้ใบแห้งนำมาบดเป็นผงใช้โรยใส่แผลก็ได้
หากใช้เป็นยาแก้ปวดหรือเป็นยาชาเฉพาะที่ก็ให้ใช้ใบและก้านสดที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ 50%
ถ้าเป็นในส่วนของรากแห้งหรือรากสดก็ให้นำมาตำแล้วพอก
หรือจะนำไปต้มเอาแต่น้ำใช้ชะล้างบริเวณที่เป็นก็ได้[4]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของต้นแก้ว
ในใบมีน้ำมันหอมระเหย
0.25
โดยประกอบไปด้วยสาร Bisabolene, Carene, Citronellol,
Eugenol, Geraniol, I-Candinenem, Paniculatin, Phebalosin, Methyl Anthranilate,
Scopoletin, Scopolin[3]
ในกิ่ง
เปลือกก้าน และผลของต้นแก้วมีสาร Mexoticin I,
Hibiscetin, Heptamethyleeher I[3]
สารสกัดจาก Petroleum
ether ของต้นแก้ว
เมื่อนำมาทดลองกับลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กของหนูขาวที่ทำการผ่าออกจากร่าง
พบว่าสารดังกล่าวมีประสิทธิภาพทำให้การเกร็งตึงที่กล้ามเนื้อเรียบของลำไส้มีการหย่อนคลาย[3]
จากการทดลองกับหัวใจที่ออกจากร่างของกบพบว่ามีฤทธิ์ในการยับยั้งการเต้นของหัวใจของกบด้วย[3]
สารจากต้นแก้วที่ทำการสกัดด้วยแอลกอฮอล์
มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อหรือช่วยยับยั้งเชื้อ Bacullus Inuza และเชื้อ Btaphylo Coccus ได้[3]
ประโยชน์แก้ว
ก้านใบสามารถนำมาใช้ทำความสะอาดฟันได้[1],[2]
ผลสุกสามารถนำมาใช้รับประทานเป็นอาหารได้[4]
ต้นแก้วเป็นไม้ประดับที่มีทรงพุ่มสวยงาม
ตัดแต่งเป็นพุ่มได้ง่าย
เป็นไม้ที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดีและไม่ต้องการการบำรุงรักษามากนัก
เพียงแต่รดน้ำเพียงครั้งคราวเท่านั้น
จึงนิยมนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับหรือไม้ประธานตามสวนหย่อม ริมทะเล ฯลฯ
โดยจะปลูกเป็นต้นเดี่ยว ๆ หรือใช้ปลูกแบบเป็นกลุ่ม ๆ ก็ได้
หรือใช้ปลูกเป็นรั้วบังสายตา ใช้ปลูกเพื่อให้ร่มเงาก็ได้ อีกทั้งยังออกดอกดก
ดอกมีความสวยงามและมีกลิ่นหอม (การปลูกจากกิ่งตอนจะเป็นไม้พุ่ม
แต่การปลูกในที่ร่มใบจะเขียวเข้ม มีกิ่งยืดยาว และให้ดอกน้อย)[5]
คนไทยโบราณมีความเชื่อว่าหากบ้านใดปลูกต้นแก้วไว้เป็นไม้ประจำบ้าน
จะทำให้คนในบ้านมีแต่ความดีและมีคุณค่า เนื่องจากคำว่า “แก้ว” นั้นมีความหมายว่า สิ่งที่ดีและมีคุณค่า
เป็นที่นับถือของคนทั่วไป
เพราะคนโบราณได้เปรียบเทียบของที่มีค่าสูงนี้เหมือนดั่งดวงแก้ว
นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าบ้านที่ปลูกต้นแก้วไว้เป็นไม้ประจำบ้าน
จะทำให้คนในบ้านเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ มีความเบิกบาน
เปรียบเสมือนแก้วที่มีความสดใสและมีความใสสะอาด และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัย
ควรปลูกต้นแก้วไว้ทางทิศตะวันตกและควรปลูกในวันพุธ
เพราะคนโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้ดอกเพื่อเอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันพุธ[6]
ดอกแก้วยังถูกนำมาใช้บูชาพระในพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลยิ่งอีกด้วย[6]
ในต่างประเทศ
เช่น ชาวเกาะชวามีความเชื่อว่าต้นแก้วสามารถช่วยขับไล่วิญญาณร้าย แม่มด หรือปีศาจ
และช่วยในการปัดเป่าโชคร้ายต่าง ๆ และยังนำความสุขสมหวังมาให้
จึงมีการปลูกเป็นไม้ดับกันอย่างแพร่หลาย
อีกทั้งต้นแก้วยังถือเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์
โดยมีตำนานเล่าว่าสุลต่านแห่งยอกยาการ์ต้า
มักจะหาที่พักสงบจิตใจและรวบรวมสมาธิใกล้ ๆ
กับต้นแก้วก่อนที่จะเสด็จเพื่อเข้าร่วมประชุมปรึกษาหารือเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านเมือง
ต้นแก้วจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมีสมาธิและสติปัญญาไปโดยปริยาย
นอกจากนี้ในพิธีแต่งงาน ดอกแก้วยังเปรียบเสมือนคำอวยพรถึงคู่บ่าวสาวที่ขอพรให้ใช้ชีวิตคู่กันอย่างสุขสมหวังและหอมหวานเสมือนกลิ่นของดอกแก้วนั่นเอง
อีกทั้งใบของต้นแก้วก็นำมาใช้ในพิธีศพด้วย โดยมักจะใช้โรยบนพื้นก่อนนำศพลงไปวาง
เพราะใบแก้วมีกลิ่นหอมที่สดชื่น จึงช่วยดับกลิ่นเหม็นคลุ้งของศพได้นั่นเอง[9]
เนื้อไม้ของต้นแก้วเมื่อนำมาแปรรูปใหม่
ๆ จะเป็นสีเหลืองอ่อน พอนานเข้าจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมสีเทา
เนื้อไม้มีเสี้ยนตรงหรือสน มีความละเอียดอย่างสม่ำเสมอ
และมักมีลายพื้นหรือลายกาบในบางต้น สามารถเลื่อย ผ่า ไส ขัด หรือนำมาตบแต่งได้ดี
อีกทั้งยังมีลายไม้ที่สวยงาม โดยเนื้อไม้นั้นจะนิยมนำมาใช้ในการทำเครื่องเรือน
เครื่องตกแต่งภายในบ้าน ภาชนะต่าง ๆ หรือใช้ทำด้ามเครื่องมือ ด้ามปากกา ไม้บรรทัด
ไม้เท้า ไม้ตะพด กรอบรูป เครื่องดนตรี ซออู้ ซอด้วง เครื่องกลึง ฯลฯ[6],[8]
มีข้อมูลระบุว่าสารสกัดจากต้นแก้วใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ยาลดน้ำหนักในประเทศมาเลเซีย
ซึ่งในโฆษณาระบุว่ามันเป็นสูตรยาสมุนไพรเก่าแก่
โดยมีสรรพคุณในการช่วยลดความอยากอาหารได้โดยไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย[9]
Post a Comment